ฟังชัดๆ จากปากเภสัช “น้ำมันตับปลา” ยี่ห้อไหนดี และกินแล้วมีประโยชน์อย่างไร? บอกเลยไม่ควรพลาด







เรามารู้จักกับเจ้า Fish Oil กันก่อนดีกว่าว่ามันคืออะไร
น้ำมันปลาก็มาจากปลาไงคะ แต่ไม่ใช่ปลาทั่วไปนะคะ ปลาที่จะให้น้ำมันปลาที่เป็นอาหารเสริมที่มีคุณประโยชน์นั้นต้องเป็นปลาทะเลค่ะ และต้องเป็นปลาทะเลน้ำลึก อยู่ในกระแสน้ำเย็นด้วยถึงจะได้ปลาที่มีคุณภาพดีถ้าเป็นปลาทะเลทั่วไปอาจจะได้สารสำคัญน้อยกว่านะคะ
ในน้ำมันปลามันมีอะไร ทำไมเป็นน้ำมันที่ดี?
Fish Oil มีส่วนประกอบคือ Omega-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่ง Omega-3 จะพบแค่ในปลาบางชนิดเท่านั้น เช่น ปลาแมคเคอร์เรล ปลาแอนโชวี่ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น หรืออาจจะพบในผักหรือพืชบางชนิด และที่สำคัญคือร่างกายของคนเราสร้างขึ้นมาเองไม่ได้นะคะ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้นค่ะ 
แล้ว Omega-3 คืออะไรนะ?
อย่างที่บอกไปข้างต้น Omega-3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งประกอบด้วย DHA และ EPA โดยมีผลการวิจัยที่เชื่อถือได้ว่าเจ้าตัวนี้มันมีคุณสมบัติดังนี้
1.    ลดระดับ Triglycerides ในเลือด 
เจ้าไตรกลีเซอร์ไรด์(Triglyceride) นี้แหละเป็นไขมันตัวร้ายค่ะ ถ้าหากมีการสะสมมากก็อาจจะนำไปสู่การเกิดโรคได้ เช่น ระดับไขมันในเลือดสูง หรือโรคหลอดเลือดและหัวใจ เป็นต้น โดยการกินน้ำมันปลานั้นมีประโยชน์สำหรับคนที่ยังไม่เป็นโรคก็คือ กินเพื่อลดไขมันป้องกันโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากไขมันในเลือดสูง
ยกตัวอย่างคุณป้าที่มาซื้อน้ำมันปลาที่ร้านค่ะ ท่านเพิ่งไปตรวจสุขภาพมาแล้วพบว่าไขมันในเลือดสูง แต่หมอยังไม่ใช้ยาลดไขมันก็ถือว่ายังไม่เป็นโรคนะคะ หมอก็ได้แนะนำให้ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อคุมไขมัน นอกจากนั้นก็มีเพื่อนของคุณป้าแนะนำให้กินน้ำมันปลาที่มีอีพีเอสูงเป็นตัวช่วยลดไขมันในเลือดถ้าคุณป้าตรวจครั้งหน้าระดับไขมันก็อาจจะลดลงมาปกติได้ไม่ต้องใช้ยาลดไขมันค่ะ นอกจากการปรับพฤติกรรมแล้วอาหารเสริมก็เป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยลดการเกิดโรคได้ค่ะแต่สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวอยู่ก็ให้ปรึกษาแพทย์เจ้าของไข้ก่อนนะคะว่าเราควรจะกินอาหารเสริมนี้มั้ย และต้องกินร่วมกับยาที่ได้รับอยู่ปกตินะมันจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพการลดไขมันดีขึ้นค่ะ 
2.    ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางระบบหลอดเลือดและหัวใจได้ค่ะ
เพราะว่าจะไปช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบหลอดเลือดและหัวใจซึ่งจากการหาข้อมูลพบว่า AHA/ACCF Secondary Prevention Guideline 2011 ยังแนะนำให้คนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดกินน้ำมันปลาแคปซูลเสริมให้ได้ โอเมก้า-3 (DHA+EPA) ปริมาณ 1 กรัมต่อวันด้วยนะคะ
ซึ่งนี่ก็เป็นผลงานวิจัยที่รองรับนะคะว่าการรับประทานน้ำมันปลาสามารถช่วยลดอัตราการตายได้ค่ะ
–    Burr ML, Fehily AM, Gilbert JF, et al. Effects of changes in fat, fish, and fibre intakes on death and myocardial reinfarction: diet and reinfarction trial (DART). Lancet. 1989;2:757–761.
–    http://atvb.ahajournals.org/content/23/2/151.full
เอาไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับคนที่จะไปหามาอ่านเพิ่มเติมนะคะอาจจะมีผลงานวิจัยใหม่มาขัดแย้งว่าไม่ช่วยลดอัตราการตาย แต่ก็ไม่ได้บอกว่ากินแล้วจะเกิดอันตรายใดนะคะ เค้าเลยไม่ได้ยกมากล่าวถึง ดังนั้นถ้าหากว่าคนที่บ้านมาถามเรา ก็บอกไปว่าอาจจะลดความเสี่ยงหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าเค้าอยากกินก็ไม่เสียหายอะไรถูกมั้ยคะ? เพียงแค่เราต้องเลือกยี่ห้อที่ดีมีคุณภาพแค่นั้นเองค่ะ
3.    กรดโดโคซาเฮกซีโนอิก หรือ DHA เป็นส่วนประกอบในเซลล์สมอง ประสาท และจอประสาทตา 
DHA จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยในการบำรุงสมองซึ่งการที่เราได้รับ DHA ปริมาณมากพอ มันจะช่วยให้ความคิดและการจดจำดีขึ้น มีการกล่าวถึงข้อดีของ DHA มานานค่ะ ในนมผงของเด็กก็มีการเพิ่มส่วนผสมนี้เข้าไปเพื่อบำรุงการทำงานของประสาทและสมอง ก็จะเห็นว่าเจ้า DHA นี่แหละเหมาะสำหรับใครที่ต้องการการบำรุงสมองอย่างมากเลยทีเดียว ผู้ที่ต้องการการบำรุงเยอะ ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนนักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่ แล้วต้องการเพิ่มการเรียนรู้การจดจำ หรือว่าผู้สูงอายุค่ะ ช่วยการจดจำ การคิด ลดการเสื่อมของระบบประสาทได้ค่ะ
4.    EPA เจ้าตัวนี้มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบต่างๆ ในร่างกายได้
เพราะมันเป็นองค์ประกอบสำคัญของสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเรียกว่า “พลอสตาแกลนดิน” ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดช่วยลดการอักเสบของ
ข้อต่อ นอกจากนี้ EPA ก็ช่วยในการนำส่งสารสื่อประสาทด้วยค่ะ
5.    ยกตัวอย่างที่มีผลงานวิจัยออกมาค่ะว่าการกินน้ำมันปลาที่มีโอเมก้า-3 ร่วมกับการกินยาตามแพทย์สั่ง จะช่วยลดอาการอักเสบของคนที่เป็นโรคข้ออักเสบได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบหัวใจและหลอดเลือด โดย EPA จะไปช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบหลอดเลือดหัวใจ ทั้งยังช่วยลดไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอไรด์และควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติได้อีกด้วยค่ะ

Gruenwald J, Graubaum H-J, Hansen K, Grube B. Efficacy and tolerability of a combination of Lyprinol® and high concentrations of EPA and DHA in inflammatory rheumatoid disorders. Advances in Therapy. 2004;21(3):197-201.
ขนาดที่แนะนำต่อวันของ โอเมก้า-3 จากสถาบันต่างๆ มีดังนี้ค่ะ
AHA (American Heart Association)หรือสมาคมโรคหัวใจของอเมริกา แนะนำ
    ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ ควรรับประทาน DHA+EPA1000 มิลลิกรัม/วัน
    ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง ควรรับประทาน DHA+EPA 2000 มิลลิกรัม/วัน
กลุ่ม ISSFAL (International Society for the Study of Fatty Acids and Lipids)และ EFSA (European Food Safety Authority) แนะนำให้รับประทานวันละ 250 มิลลิกรัม เพื่อเสริมสุขภาพ 
หลังจากที่เกริ่นกันมาเยอะพอสมควรประหนึ่งเซลล์มาขายของตามบ้านแล้ว ก็ได้เวลาไปเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันเลย
นี่ค่ะหน้าตาของผลิตภัณฑ์ที่เค้าไปเลือกมา ได้มา 3 ยี่ห้อ ที่เลือกเพราะว่าเป็นแบรนด์ชั้นนำ และมีวางจำหน่ายในร้านขายยาทั่วไปนะคะ
เน้นนะคะว่าร้านขายยา เพราะว่าบางยี่ห้อไปหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมา คือเอามาขายราคาถูกลงครึ่งๆ เลยอ่ะ ไปถามพี่เจ้าของร้านยามาเค้าบอกราคาทุนยังไม่ได้ขนาดนี้เลย เอาอะไรมาขายเราก็ไม่รู้ เลือกซื้อจากร้านขายยาหรือร้านที่มีความน่าเชื่อถือ เราจับต้องได้ดีกว่าเนอะ
มาดูกันแต่ละยี่ห้อดีกว่าว่าดียังไง มีข้อเด่น ข้อด้อยของผลิตภัณฑ์อย่างไรบ้าง



1.    Blackmores Fish Oil 1000
แบลคมอร์ส คือแบรนด์ที่ยึดถือและพัฒนาผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดที่ว่า “ธรรมชาติคือคำตอบของสุขภาพ” โดยก่อตั้งที่ประเทศออสเตรเลียมาเป็นระยะเวลานาน และเป็นแบรนด์แรกๆ เลยที่เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาและอาหารเสริม ที่เอาขึ้นมาอันดับแรกเพราะว่าถามพี่ที่ร้านแล้วว่าถ้าคนจะมาซื้ออาหารเสริมเนี่ยเค้าจะถามหาแบรนด์นี้เป็นอันดับแรกเลย อาจเป็นเพราะว่าเป็นที่รู้จักมานาน คนส่วนใหญ่จะมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่การทดลองสูตรผลิตภัณฑ์ยาต่างๆ การคัดสรรวัตถุดิบ รวมถึงการตรวจสอบด้วยนวัตกรรมล่าสุดเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดที่เข้มงวดและครอบคลุม โดยบริษัทของเค้าได้รับการสนับสนุนจาก Therapeutic Goods Administration (TGA) ของกรมแพทย์กระทรวงสาธารณสุข ประเทศออสเตรเลีย
นอกจากนั้นวิธีการผลิตทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยาก็อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การผลิตมาตรฐานสากล Good Manufacturing Practice (GMP)  หรือ PIC/s GMP ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลของการผลิตยาและผลิตตามมาตรฐานของยุโรปด้วย
สำหรับใครที่ขี้เกียจอ่าน ขวัญไปเจอวิดีโอในเว็บไซต์ของแบลคมอร์สเกี่ยวกับการเลือกวัตถุดิบมาทำน้ำมันปลาด้วย ลองกดดูนะคะ
2.    Mega Fish Oil 1000 mg
เมก้าเป็นแบรนด์ที่เริ่มก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2526 โดยเริ่มจากการรับจ้างผลิตของแบรนด์อื่นหลังจากนั้นจึงผลิตสินค้าของตัวเองเพิ่มสินค้าใหม่มากขึ้นทั้งในกลุ่มวิตามิน สารอาหารจากธรรมชาติ และยาเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยหลังแบลคมอร์ส โดยเมก้าผลิตด้วยระบบการควบคุมคุณภาพ ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์จะมีการวิจัยการผลิตและควบคุมคุณภาพ เมก้าเป็นโรงงานผลิตยาของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิต (GMP) จากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตยา วิตามิน สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร BfArM จากประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นตัวแทนสหภาพยุโรป หรือ EU 
3.    Biogrow Fish Oil 1000 mg
ไบโอโกรว์ เป็นแบรนด์จากอเมริกา มีสาขาอยู่หลายประเทศ ก่อตั้งโดยผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านยา และอาหารเสริมมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่งเวลาก็พอๆ กับเมก้าค่ะบริษัทไบโอโกรว์มุ่งเน้นการวิจัยค้นคว้าหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อประสิทธิภาพที่ดีเลิศ ผลลัพธ์ที่เป็นที่พึงพอใจแก่ลูกค้าเพื่อให้สอดคล้องกับคติประจำใจของบริษัท คือ "สุขภาพดี มีสุข"
สำหรับบริษัทนี้ขวัญไม่ค่อยมีข้อมูลว่าเข้ามาเมื่อไหร่มีอะไรรับรองบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ ผ่านมาตรฐาน GMP PIC/s แน่นอนเป็นแบรนด์ชั้นนำจากอเมริกาด้วยจึงค่อนข้างมั่นใจในคุณภาพและก็มีพี่เภสัชหลายคนที่แนะนำ ก็เลยเลือกมาเปรียบเทียบกันค่ะ – ใครมีแหล่งข้อมูลเอามาหลังไมค์ได้นะคะ
เปรียบเทียบข้อมูลส่วนผสมสารสำคัญของผลิตภัณฑ์
คือ…ทุกยี่ห้อ ในน้ำมันปลา 1000 มิลลิกรัม 1 แคปซูลประกอบไปด้วย โอเมก้า-3     300 มิลลิกรัม
    ซึ่งจะประกอบไปด้วย    กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก(อีพีเอ)       180 มก.
                                        กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอชเอ)    120 มก.
                                        วิตามิน อี
    ซึ่งสารทั้งหมดนี้เป็นปริมาณที่ อย.ของอเมริกาแนะนำมาค่ะ ว่ากินสัดส่วนเท่านี้จึงจะมีประโยชน์ต้องมีปริมาณเท่านี้แหละที่จะทำให้เกิดผลต่างๆที่ดีต่อร่างกายดังกล่าวมาข้างต้นได้ ยี่ห้อไหนน้อยกว่านี้ก็ไม่ผ่านแล้วนะคะ
    และถ้าถามว่า วิตามิน E นั้นเค้าใส่เข้าไปทำไม? เพราะว่ากรดไขมันไม่อิ่มตัวสลายตัวง่ายมาก ต้องมีวิตามิน E ช่วยทำหน้าที่เป็น Antioxidant ช่วยคงสภาพและปริมาณสารสำคัญให้มีสูงสุดระหว่างรอการบริโภค 
— ในเรื่องของสารสำคัญสำหรับน้ำมันปลา 1000 มิลลิกกรัม ก็ถือว่ามีความเท่าเทียมกันค่ะ
มาดูแคปซูลกันบ้าง
จะมีลักษณะเป็น แคปซูลเจลนิ่ม
แคปซูลเจลนิ่มคืออะไร??
เนื่องจากสารบางชนิดไม่สามารถสกัดมาให้อยู่ในรูปผงแห้งได้ จึงมีการผลิตแคปซูลนิ่มหรือที่เรียกว่า ซอฟเจลาติน ซึ่งเหมาะสำหรับการบรรจุสารที่เป็นน้ำมัน เช่น น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว น้ำมันดอกคำฝอย รวมทั้งวิตามินที่ละลายในน้ำมัน เช่น วิตามิน A,  D, E, K และสารที่ละลายในน้ำมันเช่น Co enzymeQ10, Lecithin, Lutein เป็นต้น เพื่อให้สารเหล่านี้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น และไม่สูญเสียสารสำคัญไป
จะเห็นว่าทั้ง 3 ยี่ห้อไม่แตกต่างกันค่ะ ผลิตมาลักษณะเหมือนกันเลย เปิดขวดมามีกลิ่นคาวปลานิดๆ คล้ายๆกัน
โดยความเห็นส่วนตัวนะคะ คิดว่ากลิ่นของแบลคมอร์สและเมก้าจะค่อนข้างดีกลิ่นอ่อนกว่าของไบโอโกรว์ค่ะ
ไบโอโกรว์กลิ่นปลาแรงมากกว่าค่ะ —อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบเนอะ
ต่อไปคือบรรจุภัณฑ์
คือทีแรกไม่ได้สนใจบรรจุภัณฑ์เท่าไหร่หรอก เพราะคิดว่าเค้าทำมาขนาดนี้ละ บรรจุภัณฑ์ก็แค่เปลือกนอก
แต่พี่สาวเค้าเรียนเกี่ยวกับอาหารอยู่ค่ะ ก็ค่อนข้างให้ความสำคัญกับพวกแพ็คเกจ กับการเก็บรักษามันบ่งบอกถึงคุณภาพของสิ่งที่อยู่ข้างในเมื่อเวลาผ่านไป หรือหลังจากเปิดใช้ไปแล้วได้
โดยของ Blackmoresจะเป็นขวดแก้ว
แต่ของ Mega และของ Biogrow จะเป็นขวดพลาสติกค่ะ

เนื่องจากผลิตภัณฑ์ยาหรืออาหารเสริมทั้งหลายทั้งปวงจะมีการสลายตัวได้เมื่อสัมผัสกับอากาศ หรือสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยมันมีความไวต่อสิ่งเร้าพวกนี้ต่างๆ กันไป แต่สำหรับน้ำมันปลานั้นมันค่อนข้างไวต่ออากาศค่ะ ดังนั้นการอยู่ในภาชนะที่ปิดสนิทจะดีที่สุด ทั้งความชื้นและอากาศผ่านเข้าไปได้ยิ่งน้อยยิ่งดี ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบก็คือแก้ว ยังไงก็ดีกว่าพลาสติกแน่นอนค่ะ เพราะพลาสติกบางชนิด Oxygen สามารถผ่านเข้าไปได้ ก็จะทำให้สารสำคัญเสื่อมไป คิดแบบบ้านๆ นะคะว่าเราซื้อมาก็แพงละ เราก็ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อมาแบบมีคุณภาพจนถึงเม็ดสุดท้ายที่เรากินจริงมั้ย
Edit :
มีเพื่อนๆ ทักเรื่องฝาปิดขวดมาว่าจะมีผลต่อการผ่านเข้าไปของอากาศหรือไม่?
จากการทดลองเปิด-ปิด อยู่หลายทีก็พบว่าปิดได้สนิทเหมือนกันค่ะ ที่สำคัญคือตัวเรา ปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังใช้นะคะ
ใครมีวิธีดูหรือทดสอบอะไรบอกได้นะคะ
ต่อไปก็เป็นข้อมูลเพิ่มเติมเล็กๆน้อยๆที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปนั่นก็คือ แหล่งที่มาของปลา 
อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกนะคะว่า ปลาที่เอามาทำต้องเป็นปลาน้ำลึกนะ และเป็นปลาในกระแสน้ำเย็นด้วย เช่น ปลาแอนโชวี่ โดยธรรมชาติของแอนโชวี่จะอาศัยอยู่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิคในน่านน้ำที่สะอาดบริสุทธ์ กินแพลงก์ตอนและลูกปลาเป็นอาหาร ทำให้ได้น้ำมันปลาที่มีคุณภาพดี และด้วยความที่เป็นปลาขนาดเล็กจึงมีโอกาสพบสารปนเปื้อนและโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว สารปรอท ได้น้อยกว่าปลาที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นเราจึงค่อนข้างมั่นใจได้ว่าน้ำมันปลาที่เรารับประทานนั้นมีความปลอดภัยค่ะ
สำหรับการตรวจสอบความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์นั้น โดยอ้างอิงจากฉลากของผลิตภัณฑ์ เค้าก็จะบอกว่าได้ตรวจสอบอะไรบ้างดังนี้ค่ะ
–    Blackmores “ผ่านการตรวจสอบปริมาณสารปรอท และตะกั่ว”ถ้าไปดูในคลิปที่บอกไปตอนแรก ผู้ผลิตได้กล่าวถึงการตรวจสอบคุณภาพว่าได้ตรวจสอบพวกโลหะหนัก สารปนเปื้อนต่างๆ โดยแลปมาตรฐานขั้นสูงที่ประเทศออสเตรเลีย
–    Mega“ผ่านการตรวจสอบสารปนเปื้อนและโลหะหนัก” มีการตรวจสอบสารเช่นกันค่ะแต่ยังไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าตรวจสารอะไรไปบ้าง
–    Biogrow สำหรับยี่ห้อนี้ยังไม่มีการยืนยันจากผู้ผลิตนะคะว่าเค้าได้ตรวจสอบอะไรบ้าง
สำหรับใครที่กังวลถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการกินน้ำมันปลามีอะไรเกิดขึ้น เกิดเมื่อกินไปมากแค่ไหน
ผลข้างเคียงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อรับประทานมากเกินไป (คือรับประทาน Omega-3 ปริมาณเกิน3 กรัมต่อวัน)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขนาดที่กินคือ 1-3 แคปซูลต่อวัน ได้ Omega-3 เท่ากับ 900 มิลลิกรัม ไม่ก่อให้เกิดผลเสียใดๆ นะคะ มีแต่ผลดีเท่านั้นดังที่ได้บอกไปข้างต้นนะคะ
1. การเกิดเลือดออก เนื่องจากน้ำมันปลาสามารถลดการเกาะตัวของเกร็ดเลือด จึงส่งผลดีในกรณีโรคหัวใจทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี คือมันจะทำให้ไม่เกิดพวกลิ่มเลือดที่อาจจะอุดตันหลอดเลือด แต่ถ้าคุณเกิดมีบาดแผลขึ้น เลือดที่เหลวใสจนเกินไปก็จะทำให้แผลหายได้ยากขึ้น และเกิดเลือดออกได้นานมากกว่าปกติซึ่งหากทานในขนาดตามที่ฉลากแนะนำจะไม่เป็นอันตรายค่ะ อย่างไรก็ตามไม่แนะนำให้ทานน้ำมันปลาที่มี Omega-3 มากเกินกว่า 3 กรัมต่อวัน (เทียบเท่า 10 เม็ดของขนาดปกติ) เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงของอาการเลือดออกแล้วหยุดได้ช้าลง
เพิ่มเติม 
สำหรับใครที่กินยาอาหารเสริมนี้อยู่นะคะ ถ้าจะไปทำฟัน หรือทำไรที่มีเลือดไหลมากๆ อาจจะหยุดยาก เช่น ผ่าตัด ให้หยุดกินประมาณ 1 อาทิตย์เป็นอย่างน้อยเพื่อป้องกันเลือดหยุดไหลช้าค่ะ หรือถ้าจะผ่าตัดใหญ่ ควรปรึกษาและแจ้งข้อมูลแพทย์ทุกครั้งวากินอะไรอยู่บ้าง ณ ตอนนั้นนะคะ 
2. ความดันโลหิตลดลง ซึ่งมันจะเป็นฤทธิ์อ่อนๆเท่านั้นค่ะ อาจจะดีด้วยซ้ำไปสำหรับคนที่มีความดันสูง คุณหมอบางท่านแนะนำให้รับประทานควบคู่กับยาลดความดันและไขมันได้ค่ะแต่ต้องอยู่ในการดูและของหมอนะคะ เพราะมันจะมีผลข้างเคียงหากคุณเป็นคนที่มีภาวะความดันต่ำง่ายอยู่แล้ว หรือได้รับยาลดความดันควบคู่ไปด้วย ต้องให้ความใส่ใจในผลที่น้ำมันปลาอาจทำให้เกิดภาวะความดันต่ำได้ถ้าจะกินก็ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ
ผลข้างเคียงที่บอกมานี้เพื่อให้ระวังและสังเกตตัวเองละกันนะคะ สำหรับใครที่ตัดสินใจจะรับประทานค่ะ
ถ้าถามว่าแนะนำให้ใครทาน?
น้ำมันปลาเป็นอาหารเสริม ก็เป็นสิ่งที่คนเราควรได้รับนอกเหนือจากการกินอาหารหลักให้ครบ 5 หมู่ และเนื่องจาก Omega-3 นั้นคนเราไม่สามารถสร้างเองได้ ดังนั้นก็เหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัยแน่นอนค่ะ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คงจะเป็นผู้ที่เริ่มเข้าสู่วัยสูงอายุที่ต้องการดูแลตัวเอง เพื่อป้องกันความเสี่ยงการเกิดโรคต่างๆที่มันจะตามมากับอายุที่เพิ่มขึ้นของเรา การรับประทานน้ำมันปลาเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยในเรื่องพวกนี้ได้ดี และขนาดที่แนะนำนี้ไปหาข้อมูลมายืนยัน นั่งยัน นอนยันแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงอันตรายใดๆนะคะ สามารถทานได้ทุกวันค่ะ
สรุปเลยแล้วกันเนอะจากที่พูดมาทั้งหมดก็จะรู้จักและเห็นประโยชน์ของเจ้าน้ำมันปลากันแล้วนะคะจะเห็นว่าประโยชน์ของมันมีไม่น้อยเลยทีเดียว
จากข้อมูลที่ให้มาข้างต้นก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะคะ เป็นข้อมูลในการตัดสินใจซื้อค่ะ
มีคำถามฝากไว้ได้นะคะ หรือว่ามีข้อมูลเพิ่มเติม ยินดีแก้ไขค่ะ
           ข้อมูลชัดเจนจริงๆค่ะ สำหรับใครที่อยากทราบกลไกการทำงานของเจ้าน้ำมันตับปลา ก็ได้ทราบกันแล้วนะคะ ส่วนยี่ห้อที่จะเลือกซื้อนั้นก็ต้องแล้วแต่ความต้องการและกำลังทรัพย์ของแต่ละคนค่ะ







x


****************************************ปลาย******************************* เรียนทั้งหมดของผู้เข้าชมที่รัก! ผมขอบคุณมากสำหรับการเยี่ยมชมบล็อกของฉัน! ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อหาเนื้อหาที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดสำหรับทุกท่าน! กรุณามีความโชคดี! จาก Yinluck!! :)
ฟังชัดๆ จากปากเภสัช “น้ำมันตับปลา” ยี่ห้อไหนดี และกินแล้วมีประโยชน์อย่างไร? บอกเลยไม่ควรพลาด ฟังชัดๆ จากปากเภสัช “น้ำมันตับปลา” ยี่ห้อไหนดี และกินแล้วมีประโยชน์อย่างไร? บอกเลยไม่ควรพลาด Reviewed by Mailada on 8:10 PM Rating: 5

No comments:

Powered by Blogger.